วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ดูอย่างไรว่าเป็นจระเข้น้ำจืดหรือน้ำเค็ม


ดูอย่างไรว่าเป็นจระเข้น้ำจืดและน้ำเค็ม
1 ลักษณะที่ใช้จำแนกง่ายที่สุดคือ ส่วนของจงอยจมูกหรือบางคนเรียกว่าปาก โดยจะพบว่าจระเข้น้ำจืดจะมีจงอยปากที่ยาวและมีความหนาของจงอยปากมากกว่าจระเข้น้ำเค็ม โดยจรเข้น้ำเค็มส่วนมากมีฐานของจงอยปากที่กว้างส่งผลให้ดูว่าสั้นกว่าจระเข้น้ำจืด
2 ลักษณะของฟัน จระเข้น้ำจืดจพมีฟันที่ตรงและมีขนาดเท่ากันแต่ฟันของจระเข้น้ำเค็มจะมีฟันที่มีขนาดแตกต่างกันแต่ไม่ขอแนะนำให้เดินเข้าไปดูฟันใกล้ๆๆเพราะว่าท่านอาจจะไม่มีโอกาสมาบอกคนอื่นว่าเป็นจระเข้น้ำจืดหรือไม่

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

จระเข้น้ำเค็ม


จระเข้น้ำเค็ม หรือ ไอ้เคี่ยม หรือ จระเข้ทองหลาง[2](อังกฤษ: Saltwater crocodile, ชื่อวิทยาศาสตร์: Crocodylus porosus) เป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ในอันดับจระเข้ชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Crocodylidae

เป็นจระเข้ 1 ใน 3 ชนิดที่พบได้ในประเทศไทย (อีก 2 ชนิด คือ จระเข้น้ำจืดและตะโขง) มีลักษณะทั่วไปคล้ายจระเข้น้ำจืด จุดที่แตกต่างกันคือ ขาคู่หลังมีลักษณะแข็งแรงกว่าขาคู่หน้าและมีเพียง 4 นิ้วมีพังผืดระหว่างนิ้วตีนมากกว่าจระเข้น้ำจืด จะงอยปากยาวและส่วนปลายค่อนข้างแหลม มีฟันประมาณ 60 ซี่ ลักษณะแตกต่างจากจระเข้น้ำจืดคือไม่มีเกล็ด 4 เกล็ดที่ท้ายทอย ปากยาวกว่าจระเข้น้ำจืดอย่างเห็นได้ชัด มีสันเล็ก ๆ ยื่นจากลูกตาไปตามความยาวของส่วนหัวจนถึงตำแหน่งของปุ่มจมูก หรือที่เรียกว่าก้อนขี้หมา สีลำตัวออกเหลืองอ่อนหรือสีขาว และมีการเรียงตัวที่ส่วนหาง ดูคล้ายตาหมากรุก ตัวผู้มีความยาวหางยาวกว่าตัวเมีย แต่ลำตัวของตัวผู้ผอมเพรียวกว่าแต่โดยรวมแล้วขนาดลำตัวของตัวเมียจะเล็กกว่าเมื่อเทียบกันตัวต่อตัว และระยะห่างของโหนกหลังตาจะกว้างกว่าหัวของตัวผู้ดูป้อมสั้น ตัวเมียจะดูหัวจยาวเรียว

จระเข้น้ำเค็มจัดว่าเป็นสายพันธุ์จระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โตเต็มที่ได้ถึง 4-5 เมตร พบกระจายพันธุ์ตั้งแต่ภูมิภาคเอเชียใต้จนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศออสเตรเลียทางตอนเหนือ บริเวณนอร์เทิร์นเทร์ริทอรี มักอาศัยอยู่ในป่าโกงกางหรือป่าชายเลนในที่ที่เป็นน้ำกร่อยหรือน้ำเค็ม ตัวผู้จะถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 16 ปี ตัวเมียอายุ 10 ปี แต่จะให้ไข่ที่สมบูรณ์เมื่ออายุ 12 ปี มีขนาดยาว 2.2 เมตร มีการผสมพันธุ์ในฤดูร้อนและวางไข่ในฤดูฝน ครั้งละ 25-90 ฟอง การวางไข่จะใช้เวลาประมาณ 20-25 นาที ใช้ระยะเวลาในการฟักไข่ประมาณ 80 วัน ขนาดของไข่จระเข้น้ำเค็มจะใหญ่กว่าจระเข้น้ำจืดเล็กน้อย มีน้ำหนักประมาณ 110-120 กรัม

จระเข้น้ำเค็มมีอุปนิสัยดุร้ายมาก สามารถโจมตีสัตว์ที่โดยปกติไม่ใช่อาหารได้ เช่น มนุษย์ เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางถิ่นของออสเตรเลียที่ขึ้นชื่ออย่างยิ่งในเรื่องการโจมตีมนุษย์ของจระเข้น้ำเค็ม อีกทั้งมีการกัดของกรามได้อย่างรุนแรงมากที่สุดในโลก โดยมีแรงมากถึง 1,700 ปอนด์[3] และสามารถกระโดดงับเหยื่อได้ ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ในสัตว์เลื้อยคลายขนาดใหญ่เช่นนี้ จนกระทั่งมีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า "Man Eater" ซึ่งในสวนสัตว์บางแห่งได้ใช้ความสามารถพิเศษอันนี้หลอกล่อให้จระเข้กระโดดงับเหยื่อที่แขวนล่อไว้เพื่อแสดงแก่ผู้ที่มาเยี่ยมชม

ในทางอุตสาหกรรม หนังของจระเข้น้ำเค็มมีคุณสมบัติเหมาะสมในการทำเครื่องหนังมากกว่าจระเข้น้ำจืด เพราะมีหนังที่เหนียวทนทานกว่า จึงนิยมเลี้ยงกันเป็นสัตว์เศรษฐกิจ แต่ทว่าด้วยความที่ต้องใช้ระยะเวลานานในการจระเข้จะโตและให้ผลผลิตที่ดีได้ จึงนิยมผสมข้ามสายพันธุ์กับจระเข้สายพันธุ์อื่นเพื่อให้ได้จระเข้ลูกผสมที่จะให้ผลผลิตที่เร็วกว่า

ตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก[แก้]
คืนวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 2011 ทางภาคใต้ของฟิลิปปินส์ ชาวบ้านและผู้เชี่ยวชาญหลายคนรวมกันจับจระเข้น้ำเค็มเพศผู้ตัวหนึ่งได้ โดยใช้เวลากว่า 3 สัปดาห์ หลังจากจระเข้ตัวนี้กินควายไปเมื่อเดือนก่อน และเชื่อว่ามันกินคนไปสองศพไปเมื่อสองปีก่อนด้วยการกัดเข้าที่ศีรษะจนขาด

ซึ่งจระเข้ตัวนี้มีน้ำหนักกว่า 1,075 กิโลกรัม และยาวถึง 6.4 เมตร อายุกว่า 50 ปี นับเป็นจระเข้ตัวใหญ่ที่สุดเพียงไม่กี่ตัวที่จับได้ในรอบหลายปีที่ฟิลิปปินส์ และเชื่อว่าเป็นจระเข้ตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลกเท่าที่พบมา โดยทำลายสถิติจระเข้ตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่บันทึกได้ที่ออสเตรเลีย ซึ่งตัวนั้นยาว 5.48 เมตร

จระเข้น้ำจืด


จระเข้น้ำจืด หรือ จระเข้น้ำจืดสายพันธุ์ไทย หรือ จระเข้บึง (อังกฤษ:Freshwater หรือ Siamese Crocodile; ชื่อวิทยาศาสตร์: Crocodylus siamensis) มีถิ่นกำเนิดในบริเวณ เวียดนาม, กัมพูชา, ลาว ไทย, กาลิมันตัน, ชวา และสุมาตรา จัดเป็นจระเข้ขนาดปานกลางค่อนมาทางใหญ่ (3 - 4 เมตร) มีเกล็ดท้ายทอด มีช่วงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 10 - 12 ปี จระเข้ชนิดนี้วางไข่ครั้งละ 20 - 48 ฟอง โดยมีระยะเวลาฟักไข่นาน 68 - 85 วัน เริ่มวางไข่ในช่วงต้นฤดูฝนประมาณเดือนพฤษภาคม โดยขุดหลุมในหาดทรายริมแม่น้ำ ใช้เวลาเฉลี่ยราว 80 วัน ชอบอยู่และหากินเดี่ยว
จระเข้น้ำจืด โดยปกติจะกินปลาและสัตว์อื่นที่เล็กกว่าเป็นอาหาร จะไม่ทำร้ายมนุษย์หากไม่ถูกรบกวนหรือมีอาหารเพียงพอ ในอดีตในประเทศไทยเคยพบชุกชุมในแหล่งน้ำทั่วทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะในแถบที่ราบลุ่มภาคกลาง เช่น ที่บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่จระเข้ชุม เคยมีรายงานว่าพบจระเข้ถึง 200 ตัว หรือในวรรณกรรมพื้นบ้านเรื่องต่าง ๆ เช่น ไกรทอง ของจังหวัดพิจิตร เป็นต้น แต่ปัจจุบันได้สูญหายไปจนหมดแล้ว แต่ในต่างประเทศยังคงพบอยู่เช่นที่ทะเลสาบเขมร ประเทศกัมพูชาโดยเฉพาะเทือกเขาคาร์ดามอน ซึ่งช่วงแรกค้นพบเพียง 3 ตัว จนนำไปสู่การค้นพบจระเข้นับร้อยตัว ที่อาศัยโดยไม่พึ่งพาอาศัยมนุษย์ แต่ที่นี่ก็ประสบปัญหาการจับจระเข้ไปขายฟาร์มจำนวนมาก[2] สถานะในอนุสัญญาของไซเตส ได้ขึ้นบัญชีจระเข้น้ำจืดไว้อยู่ในบัญชีหมายเลข 1 (Appendix 1)
ปัจจุบัน จระเข้สายพันธุ์นี้แท้ ๆ ก็ยังหายากในสถานที่เลี้ยง เนื่องจากได้ถูกผสมสายพันธุ์กับจระเข้สายพันธุ์อื่นจนเสียสายพันธุ์แท้ไป เนื่องจากเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจ
สถานะตามธรรมชาติในไทย
ปัจจุบันประเทศไทย จระเข้ที่ยังคงสถานะในธรรมชาติเชื่อว่าหลงเหลืออยู่คือ ที่คลองระบม-สียัด เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไน จังหวัดฉะเชิงเทรา ในอดีตมีนายพรานจากประเทศเวียดนามเข้ามาล่า ทำให้จระเข้หายไปจากป่าต้นน้ำคลองระบม-สียัด จนในปี พ.ศ. 2535 นายกิตติ กรีติยุตานนท์ ผู้ช่วยหัวหน้าสถานีวิจัยสัตว์ป่าฉะเชิงเทรา ได้พบจระเข้น้ำจืดในพื้นที่ดังกล่าว แต่คาดว่าเหลือไม่เกิน 5 ตัวปัจจุบันพบเพียงตัวผู้เพียงตัวเดียว
ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี มีอยู่ประมาณ 5 ตัว เชื่อกันว่าเป็นเพศเมียทั้งหมดแต่หลังจากในปี พ.ศ. 2552 ได้พบการวางไข่ของจระเข้กลุ่มดังกล่าว แต่ไข่กลับไม่ได้รับการผสม
·         ในบึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ มีจระเข้ราว 50 ตัว(คาดการณ์) ปัจจุบันสามารถเห็นได้ชัด 1 ตัว บริเวณที่ทำการบึงบอระเพ็ดมักขึ้นมาแสดงตัวกับนักท่องเที่ยว พบแหล่งวางไข่บนเกาะวัดและเกาะดร.สมิทจำนวน 2 ตัว, บริเวณคลองบึงบอระเพ็ดจำนวน 1-2 ตัว ฯลฯ และส่วนต่างๆในบริเวณบึงบอระเพ็ดที่ครอบคลุม3อำเภอ ในบึงบอระเพ็ดสามารถพบเห็นจระเข้ได้ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่
·         ในอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง มีจระเข้อย่างน้อย 3 ตัว ที่บ้านคลองชมพู อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นประชากรจระเข้กลุ่มเดียวในไทยที่ยังมีการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติอยู่ และไม่มีประวัติการทำร้ายผู้คน
·         ในอุทยานแห่งชาติปางสีดา จังหวัดสระแก้ว มีจระเข้อยู่ประมาณ 10 ตัว ทั้งเพศผู้และเพศเมีย ซึ่งเป็นการทดลองปล่อยจระเข้น้ำจืดไทยจากแหล่งเพาะเลี้ยงไปสู่ธรรมชาติ แต่ยังสรุปผลไม่ได้ ว่าจระเข้ดังกล่าวจะปรับตัวสู่ธรรมชาติได้หรือไม่
·         มีการรายงานว่าพบจระเข้ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายอดโดม จังหวัดอุบลราชธานี
·         มีการค้นพบร่องรอยจระเข้ในอุทยานแห่งชาติทับลาน ซึ่งเป็นผืนป่าที่เชื่อมต่อกับปางสีดาและป่าภูเขียว
·         ในปี พ.ศ. 2556 มีการพบซากจระเข้น้ำจืดตัวหนึ่งและจระเข้ที่มีชีวิตอีกตัวหนึ่งในแม่น้ำชุมพรที่บ้านบางสมอ ตำบลตากแดด อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นจระเข้ตามธรรมชาติเนื่องจากกรงเล็บและเขี้ยวแหลมคม ในอดีตเมื่อ 50-60 ปีก่อนที่นี่เคยเป็นแหล่งอาศัยของจระเข้น้ำจืดที่ชุกชมมาก่อนแต่ต่อมาประชากรได้ลดจำนวนลง เวลาต่อมาได้มีการสั่งประกาศจับเป็นหรือจับตายจระเข้อีกหนึ่งตัวที่เหลืออยู่
จระเข้ในไทยในปัจจุบันคาดว่าในแต่ละแหล่งคงมีจระเข้หลงเหลือไม่เกิน 1-3 ตัว และไม่น่ามีการผสมพันธุ์กัน จระเข้ตามธรรมชาติของไทยจึงสุ่มเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ล่าสุดมีการพบที่ลานหินตาด ภายในอุทยานแห่งชาติปางสีดา จังหวัดสระแก้ว เมื่อปลายเดือนเมษายนและต้นเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 ด้วยหลักฐานภาพถ่ายและภาพวีดีโอของนักท่องเที่ยวชาวสวิตเซอร์แลนด์ คาดว่ามีความยาวประมาณ 1.3 เมตร โดยที่แห่งนี้เคยมีการค้นพบจระเข้น้ำจืดมาแล้วในอดีต เมื่อปี พ.ศ. 2537[15]
ทางวัฒนธรรมและความเชื่อ
ในประเทศไทย บริเวณลุ่มน้ำคลองระบม-สียัด จังหวัดฉะเชิงเทรา มีความเชื่อเรื่อง "จระเข้เจ้า" ว่าเป็นพาหนะของเจ้าพ่อเขากา ที่ไม่ทำร้ายผู้คน แต่ถ้าหากใครไปทำร้ายก็จะประสบกับภัยพิบัติ บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แถบลำน้ำโดมใหญ่หรือบางแห่งในลุ่มน้ำมูลมีความเชื่อเรื่อง "จระเข้เจ้า" เช่นกัน แต่จะเป็นจระเข้เผือกที่ภาษาถิ่นเรียกว่า "แข้ด่อน" ส่วนคนในบ้านครัว ชุมชนมุสลิมริมคลองแสนแสบกรุงเทพมหานคร มีตำนานปรัมปราว่า บรรพบุรุษของชาวบ้านครัวเป็นจระเข้ที่อยู่ในคลองแสนแสบทั้งนี้ในนิทานเรื่อง ไกรทอง ได้ให้ภาพพจน์ของจระเข้มีสถานะและความสัมพันธ์เทียบเท่ากับมนุษย์ และเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอนพลายชุมพลปราบจระเข้เถรขวาด ก็แสดงให้เห็นถึงความเชื่อและมุมมองของคนในสมัยก่อนที่มีต่อจระเข้
การเพาะพันธุ์
·         16 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ประเทศกัมพูชาได้ทำการฟักไข้จระเข้สยามสำเร็จเป็นครั้งแรก ได้ลูกจระเข้ 13 ตัว
·         7 กันยายน พ.ศ. 2554 ประเทศลาวได้ทำการฟักไข้จระเข้สยามสำเร็จเป็นครั้งแรก ได้ลูกจระเข้ 20 ตัว
·         6 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ประเทศไทยได้ทำการฟักไข้จระเข้สยามสำเร็จเป็นครั้งแรก ได้ลูกจระเข้ 7 ตัว

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

จระเข้

จระเข้



  • จระเข้ ( Crocodile) เป็นวงศ์ของสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ ใช้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Crocodylidae อยู่ในอันดับจระเข้ (Crocodilia)
    มีลักษณะโดยรวมคือ ส่วนปลายของหัวแผ่กว้างหรือเรียวยาว ขากรรไกรยาวและกว้าง เมื่อหุบปากแล้วจะเห็นฟันซี่ที่ 4 ของขากรรไกรล่างเนื่องจากขอบปากบนตรงตำแหน่งนี้เป็นรอยหยักเว้า ส่วนปลายของขากรรไกรล่างข้างซ้ายและข้างขวาเชื่อมต่อกันเป็นพื้นที่แคบ กระดูกเอนโทพเทอรีกอยด์อยู่ชัดกับแถวของฟันที่กระดูกแมคซิลลา กระดูกพาลามีนมีก้านชิ้นสั้นอยู่ทางด้านหน้าและไม่ถึงช่องในเบ้าตา พื้นผิวด้านบนของลิ้นไม่มีสารเคอราติน ต่อมขจัดเกลือบนลิ้นมีขนาดใหญ่ มีก้อนเนื้อที่ปลายปากนูนสูงที่ช่องเปิดรูจมูกเรียกว่า "ก้อนขี้หมา" หรือ "หัวขี้หมา" ซึ่งจะแตกต่างออกไปตามชนิดและเพศหรือขนาด โคนหางเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่และแข็งแรงเรียกว่า "บ้องตัน" ใช้ในการฟาดเพื่อป้องกันตัว หางแบนยาวใช้โบกว่ายน้ำ
    จระเข้ ถือเป็นสัตว์ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาาหร เนื่องจากเป็นสัตว์ผู้ล่ากินเนื้อขนาดใหญ่ ที่ไม่มีศัตรูตามธรรมชาติ ยกเว้นจระเข้ในวัยอ่อน ที่ตกเป็นอาหารของสัตว์ขนาดใหญ่กว่าชนิดต่าง ๆ ได้ จระเข้ตัวโตเต็มวัยจะมีพฤติกรรมกินอาหารแบบหมุนตัว กล่าว คือ เมื่อจับเหยื่อที่มีขนาดใหญ่ขณะอยู่ใต้น้ำและต้องการกินเหยื่อจะใช้ปากงับไว้และหมุนตัวเองเพื่อฉีกเนื้อเหยื่อออกเป็นชิ้น ส่วนเหยื่อที่มีขนาดเล็กถูกบดให้แหลกด้วยลิ้นขนาดใหญ่โดยใช้ลิ้นดันเหยื่ออัดแน่นกับเพดานของอุ้งปาก นอกจากนี้แล้วจระเข้ยังกลืนก้อนกรวดหรือก้อนหินเข้าไปในกระเพาะเพื่อช่วยในการบดอาหารด้วย 
    แบ่งออกได้เป็น 3 สกุล 14 ชนิด พบได้ในเขตอบอุ่นและเขตร้อนของทุกทวีปทั่วโลก นับว่ามีจำนวนสมาชิกมากและหลากหลายที่สุดของอันดับจระเข้ที่ยังพบคงดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบันนี้
    มักอาศัยบริเวณป่าริมน้ำหรือพื้นที่ชุ่มน้ำ เพราะหากินในน้ำเป็นหลัก บางชนิดหรือบางพื้นที่อาจพบได้ในแหล่งน้ำกร่อยหรือป่าชายเลนหรือปากแม่น้ำใกล้ทะเล ในประเทศไทยพบ 3 ชนิด คือ จระเข้บึง หรือ จระเข้น้ำจืด (Crocodylus siamensis), อ้ายเคี่ยม หรือ จระเข้น้ำเค็ม (C. porosus) และ จระเข้ปากกระทุงเหว หรือ ตะโขง (Tomistoma schlegelii) ซึ่งมิได้ถูกจัดอยู่ในวงศ์นี้

    การจัดจำแนกสัตว์ในวงศ์จระเข้ (Crocodylidae)

    ส่วนใหญ่ถูกจัดอยู่ในสกุล Crocodylus ส่วนอีกสกุลที่เหลือ คือ Osteolaemus เป็นสกุลที่มีสปีชีส์เดียว
    • สกุล Crocodylus
      • จระเข้น้ำเค็ม (Saltwater Crocodile), Crocodylus porosus
      • จระเข้น้ำจืด (Siamese Crocodile), Crocodylus siamensis

    ความสัมพันธ์เชิงวิวัฒนาการของจระเข้และเครือญาติ

    จระเข้ยุคปัจจุบันหรือเรียกตามภาษานักวิชาการว่าจระเข้ยุคใหม่นั้น โผล่หน้าขึ้นมาบนโลกเมื่อราว 90 ล้านปีก่อน เก่าแก่กว่ามนุษย์เมื่อ2 ล้านปีที่ผ่านมานี้หลายเท่า จระเข้ยุคใหม่มีร่วมเผ่าพันธุ์อยู่ด้วยกัน 3 กลุ่ม ได้แก่ จระเข้ (น้ำจืด-น้ำเค็ม), อัลลิเกเตอร์ และตะโขง เริ่มที่ 248 ล้านปีก่อน ซึ่งเป็นยุคโบราณเทียบเท่ากับยุคไดโนเสาร์ ตรงกับช่วงต้น “มหายุคมีโซโซอิค (Mesozoic Era)” ซึ่งต้นตระกูลจระเข้ นั้นมีนามว่า “โปรเทอโรซูซุส (Proterosuchus)” จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับ จระเข้ แต่ก็ไม่อาจที่จะเรียกเป็นจระเข้ได้เต็มตัว เพราะตามตำราแล้วถือว่ามันเป็นสัตว์เลื้อยคลาน (Reptile) ที่คล้ายจระเข้ เท่านั้น พวกจระเข้เต็มร้อยเริ่มปรากฏเมื่อตอนช่วงกึ่งกลางมหายุคมีโซโซอิคหรือ “ยุคจูราสสิก” (206 ถึง 144 ล้านปีก่อน) จะดำรงชีวิตอยู่ร่วมยุคกับไดโนเสาร์ที่กำลังรุ่งเรืองนั้นเอง จระเข้ โบราณรุ่นแรกเริ่มนั้นก็ได้แก่ “เมทรี-โอรินซุส (Metriorhynchus)” ซึ่งดำรงชีพอยู่ใต้ น้ำ มีความยาวประมาณ 3 เมตร ปลายหางบานเหมือนหางปลา แต่ขึ้นมาวางไข่บนบก อีกตัวหนึ่งเป็น จระเข้ยักษ์ “ซาร์โค-ซูซุส (Sarcosuchus)” จัดว่าเป็นขนาดใหญ่ที่สุดของทุกยุค เพราะยาวตั้ง 12 เมตร มีน้ำหนัก 10 ตัน ช่วง “ยุคครี-เตเชียส (Cretaceous)” (144 ถึง 65 ล้านปีก่อน) อันถัดจากยุคจูราสสิก และเป็นยุคปลีกย่อยสุดท้ายแห่งมหายุคมีโซโซอิค นั่นก็เพราะต้นตระกูลจระเข้ รุ่นใหม่ทวีจำนวนเพิ่มพงศ์เผ่าขึ้นอย่างมากมายในยุคนี้ ตัวที่น่าสนใจที่สุดนั้นก็คือ จระเข้ยักษ์ “ไดโนซูซุส (Dienosuchus)” มันเป็นญาติสนิท ตัวหนึ่งของจระเข้รุ่นปัจจุบัน ซึ่งเคยอยู่ร่วมกับไดโนเสาร์เมื่อ 70 กว่าล้านปีก่อน ก็เป็นจระเข้ยักษ์ตัวหนึ่ง ที่ยาวเหยียด 10 ถึง 12 เมตร น้ำหนักตั้ง 9 ตัน จะมีขนาดเท่ากับ “จระเข้ยักษ์ ซาร์โคซูซุส” บรรพบุรุษของมัน สำหรับส่วนลักษณะภายนอกของ ไดโนซูซุสนั้นดูแล้วคล้ายจระเข้แม่น้ำไนล์ ซึ่งปกติชอบกินกุ้งหอยปูปลาเป็นพื้น และบางทีก็กินสัตว์ป่าที่ตัวใหญ่ด้วย เช่น ม้าลาย ในอดีต ด้วยเหตุที่ไดโนซูซุสมีขนาดเข้าขั้นจระเข้ยักษ์ มันจึงจู่โจมไดโนเสาร์ขนาดปานกลางที่มาใกล้ริมตลิ่งได้อย่างสบายๆ เช่น ไดโนเสาร์กินพืช “พาราซอโรลอฟอัส (Parasaurolophus)” ที่น้ำหนักเท่าช้าง (ราว 3 ตันครึ่ง) เทคนิคในการกินสัตว์ที่ขนาดใหญ่ คือ ลอยตัวเงียบกริบใต้ผิวน้ำตามลำน้ำหนองบึง หาเวลาเหมาะไดโนเสาร์ที่มาดื่มน้ำโดยไม่ระมัดระวัง มันก็กระโจนพุ่งตัวขึ้นงับติดแน่น แล้วลากไดโนเสาร์ลงน้ำ จนจมน้ำตายในที่สุด เชื่อกันว่าเจ้าไดโนซูซุส สามารถกระโจนได้ไกลเท่ากับความยาวของตัวมันเองเลยทีเดียว ดังนั้น แม้แต่ไดโนเสาร์ติดปีก “นิคโธซอรัส (Nyctosaurus)” ถ้าบินเฉียดผิวน้ำก็มีสิทธิ์โดนมันขย้ำลงไปงาบใต้น้ำได้ง่ายๆเช่นกัน ตอนปลายยุคมีโซโซอิค (65 ล้านปีก่อน) โลกที่โดนดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนเข้าปังใหญ่ แค่ไม่กี่เดือนกี่ปีถัดมา บรรดาสัตว์ และพืชพรรณก็มีอันสูญ พันธุ์ไปเกือบครึ่งโลก เป็นต้นว่า ไดโนเสาร์หายไปหมด แต่จระเข้ บางชนิดยังอยู่รอดและขยายพันธุ์ไปทั่วโลก ซึ่ง ได้แก่ จระเข้น้ำจืด จระเข้น้ำเค็ม ตะโขง และอัลลิเกเตอร์ (หรือเคย์แมน) มาจนถึงปัจจุบัน

    การปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของจระเข้

    จระเข้ จัดเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์เลื้อยคลานทั้งหมด 4 กลุ่ม สืบสายพันธุ์ยาวนานมาตั้งแต่ยุคจูแรคสิคและครีเทเซียสจนถึงยุคปัจจุบัน มีความสามารถในการปรับสภาพร่างกายในการอยู่รอดจากภาวะที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มากว่า 160 ล้านปี คงลักษณะโบราณทางด้านกายวิภาคเกือบทั้งหมดของร่างกาย ตั้งแต่ปลายจมูกจรดปลายหาง ไม่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างให้แตกต่างไปจากบรรพบุรุษในยุคโบราณ จระเข้ส่วนใหญ่จะมีจมูกที่ยาวเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ มีขากรรไกรที่แข็งแรงรวมทั้งฟันที่แหลมคม ขนาดความยาวประมาณ 3 - 4 เมตร ลักษณะลำตัวใหญ่โตและดุร้าย ทำให้แลดูน่ากลัวและน่าเกรงขามต่อผู้พบเห็น ผิวหนังแข็งเป็นเกล็ดปกคลุมตลอดลำตัว ปากยาวและปลายปากนูนสูงขึ้นเป็นช่องเปิดของรูจมูก ออกลูกเป็นไข่ครั้งละประมาณ 20 - 28 ฟอง จัดอยู่ในประเภทสัตว์กินเนื้อทุกชนิดด้วย